- หากจะว่ากันแล้ว น้ำพุ มีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
1. น้ำพุธรรมชาติ เกิดจากแรงดันของน้ำในใต้ดิน พุ่งผ่านรอยแยกของพื้นดินขึ้นมา ส่วนมากจะเป็นน้ำร้อนหรือน้ำอุ่น พุ่งผุดขึ้นมาอาจจะมีหลายจุดในบริเวณเดียวกัน
2. น้ำพุประดิษฐ์ มีองค์ประกอบสำคัญคือ ภาชนะ เช่น อ่าง หรือสระ เพื่อกักเก็บน้ำ ปั้มน้ำ เพื่อดูดน้ำส่งผ่านหัวน้ำพุ ซึ่งเครื่องปั้มน้ำจะทำงานโดยการใช้ไฟฟ้าหรือน้ำมัน
- รูปแบบของน้ำพุประดิษฐ์ มีหลายรูปแบบ ได้แก่
- น้ำพุแบบติดผนัง ส่วนมากจะประกอบด้วยประติมากรรมแบบต่างๆ
- น้ำพุอีกประเภท คือ หัวน้ำพุวางไว้กลางสระน้ำธรรมชาติ แบบนี้มักจะใช้เพื่อประโยชน์ในการเติมออกซิเจนให้น้ำในสระ นอกเหนือไปจากความสวยงามและเสริมบรรยากาศ
สิ่งที่ทำให้น้ำพุมีความแตกต่างกันในด้านความสวยงาม แปลกตาน่าสนใจ นั่นคือ หัวน้ำพุ ซึ่งอาจจะพุ่งออกจากจุดศูนย์กลาง เป็นช่อเป็นชั้นลดหลั่นกัน หรือพุ่งจากรอบบ่อเข้ามาจุดศูนย์กลาง
- การเลือกใช้หัวน้ำพุ
- การเลือกใช้หัวน้ำพุชนิดใดนั้นต้องพิจารณาจาก บ่อ สระ หรือภาชนะ ให้มีความสัมพันธ์กันคือ ขนาดของบ่อ สระ ภาชนะต้องพอเหมาะพอดีกับสระน้ำที่พุ่งออกมาจากหัวน้ำพุ บ่อ หรือสระที่กว้างมาก ถ้าใช้หัวน้ำพุเล็กเกินไป จะกลายเป็นน้ำที่พุ่งออกจากปากปลา เพื่อจับแมลงกิน แต่ถ้าหัวน้ำพุใหญ่มาก น้ำจะพุ่งเลยขอบสระ และน้ำก็จะหายไปทีละน้อยต้องเติมน้ำกันบ่อยๆ
- น้ำพุที่ใช้ประกอบสวนขึ้นอยู่กับสไตล์ของสวน ถ้าเป็นสไตล์ธรรมชาติ สระน้ำควรมีรูปทรงอิสระไม่ใช่รูปเรขาคณิต หัวน้ำพุอาจพุ่งขึ้นจากจุดเดียว กระจายเป็นฝอยออกรอบทิศ หรือเป็นแท่งเป็นลำขนาดใหญ่
- หากเลือกน้ำพุที่มีละอองละเอียดมาก ต้องพิจารณาด้วยว่ากระแสลมจะพัดพาละอองน้ำออกจากบ่อหรือสระหรือไม่
- การวางตำแหน่งของน้ำพุ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของอาคาร และวัตถุประสงค์ บางครั้งเราตั้งตำแหน่งของน้ำพุไว้ในสวน เพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหว เกิดเสียง เสริมบรรยากาศ แต่บางครั้งก็เพื่อประกอบให้อาคารงดงามขึ้น บางครั้งการสร้างน้ำพุก็เพราะความเชื่อโชคลาง จัดตามฮวงจุ้ยเพื่อความสบายใจ และตำแหน่งของน้ำพุมักจะไว้หน้าบ้าน
เพื่อนๆค่ะ การจัดวางน้ำพุไม่มีข้อกำหนดแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของเจ้าของบ้านอยากที่จะจัดวางที่ใด เพื่อนๆค่ะคิดหรือยังค่ะ ว่าเราจะวางน้ำพุไว้ส่วนไหนของสวนดีนะ ติ๊กต๊อก...
ดีดีจังเลยค่ะมีความรู้ดี
ตอบลบ